ข่าวสารสมาคม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจ (สำหรับประชาชน)

โพสวันที่ 21 เมษายน 2563

คำพิพากษาศาลฎีกาที่น่าสนใจ (สำหรับประชาชน)
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
๑. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๘๓๓๓/๒๕๖๐ เจตนาลวง , การจดทะเบียนหย่าเป็นโมฆะ
ภายหลังจำเลยกับ ส. จดทะเบียนหย่าแล้ว จำเลยกับ ส. ยังคงอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาพักอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ทั้งจำเลยยังเป็นผู้ดูแล ส. เมื่อยามเจ็บไข้ รับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จนกระทั่ง ส. ถึงแก่ความตาย แสดงว่าการจดทะเบียนหย่าระหว่างจำเลยกับ ส. กระทำขึ้นโดยมีเจตนาที่จะไม่ประสงค์ให้ผูกพันตามนั้น จึงเป็นโมฆะใช้บังคับมิได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๕ วรรคหนึ่ง แม้จำเลยอ้างว่า เหตุที่จำเลยจดทะเบียนหย่าเพราะเหตุผลทางธุรกิจการค้าของจำเลยแตกต่างจากเหตุผลการหย่าในคำให้การก็ไม่ทำให้ข้อต่อสู้ของจำเลยเสียไปเพราะเหตุผลการหย่าไม่ได้เป็นสาระสำคัญ สาระสำคัญอยู่ที่การแสดงเจตนา เมื่อการจดทะเบียนหย่าเป็นโมฆะ การสมรสยังคงมีอยู่ มีผลทำให้บันทึกข้อตกลงท้ายทะเบียนหย่าเกี่ยวกับการยกที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่ ส. ใช้บังคับมิได้ จำเลยอ้างความเป็นโมฆะใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นทายาทรับมรดกของ ส. ที่จะต้องรับไปทั้งสิทธิและความรับผิดต่าง ๆ ได้ ประกอบกับโจทก์มิใช่บุคคลภายนอก


๒. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๑๓๑/๒๕๖๐ ผิดนัด , ดอกเบี้ย
สัญญากู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่มีการกำหนดเวลาชำระหนี้กันไว้ โจทก์บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้ซึ่งจำเลยได้รับหนังสือในวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๗ พ้นกำหนดระยะเวลา ๗ วัน ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ เมื่อหนี้ที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงิน โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้ในระหว่างเวลาผิดนัดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง นับแต่วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ


๓. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๗๕๗/๒๕๖๐ ปลดหนี้
ข้อความที่โจทก์ส่งถึงจำเลยทางเฟสบุ๊คมีใจความว่า เงินทั้งหมด ๖๗๐,๐๐๐ บาท ไม่ต้องส่งคืนให้แล้ว ยกให้หมด ไม่ต้องส่งดอกอะไรมาให้ จะได้ไม่ต้องมีภาระหนี้สินติดตัว การส่งข้อมูลดังกล่าวเป็นการสนทนาผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ถือว่าเป็นการส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ต้องนำพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.๒๕๔๔ มาใช้บังคับ ซึ่งตามมาตรา ๗ บัญญัติว่า ห้ามมิให้ปฏิเสธความมีผลผูกพันและการบังคับใช้ทางกฎหมายของข้อความใด ๆ เพียงเพราะเหตุที่ข้อความนั้นอยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และมาตรา ๘ บัญญัติว่า ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๙ ในกรณ๊ที่กฎหมายกำหนดให้การใดต้องทำเป็นหนังสือ มีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือมีเอกสารมาแสดง ถ้าได้มีการจัดทำข้อความขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเข้าถึงและนำกลับมาใช้ได้โดยความหมายไม่เปลี่ยนแปลง ให้ถือว่าข้อความนั้นได้ทำเป็นหนังสือ มีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือมีเอกสารมาแสดงแล้ว ดังนั้นข้อความที่โจทก์ส่งถึงจำเลยทางเฟสบุ๊ค แม้จะไม่มีการลงลายมือชื่อโจทก์ก็ตาม แต่การส่งข้อความของโจทก์ทางเฟสบุ๊คจะปรากฏชื่อผู้ส่งด้วยและโจทก์ก็ยอมรับว่าได้ส่งข้อความทางเฟสบุ๊คถึงจำเลยจริง ข้อความการสนทนาจึงรับฟังได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาปลดหนี้ให้แก่จำเลยโดยมี

หลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๔๐ แล้ว หนี้ตามสัญญากู้ยืมย่อมระงับ โจทก์ไม่อาจยกเหตุว่าโจทก์ไม่มีเจตนาที่จะปลดหนี้ให้จำเลยแต่ทำไปเพราะความเครียดต้องการประชดประชันจำเลยขึ้นอ้างเพื่อให้เจตนาที่แสดงออกไปตกเป็นโมฆะ เพราะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้รู้ถึงเจตนาที่ซ่อนอยู่ภายในของโจทก์


๔. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๔๓/๒๕๖๑ ละเมิด
การจัดให้มีลานจอดรถสำหรับเป็นที่จอดรถของลูกค้าหรือผู้มาใช้บริการห้างสรรพสินค้าของจำเลยเป็นปัจจัยหนึ่งเพื่อจูงใจให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการจึงเป็นการให้บริการอย่างหนึ่งของจำเลยแก่ลูกค้า จำเลยย่อมต้องมีหน้าที่ที่จะต้องดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของลูกค้า ซึ่งรวมถึงรถยนต์ของลูกค้าที่นำมาจอดบริเวณลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าจำเลยด้วย แม้จำเลยยินยอมให้บุคคลทั่วไปนำรถยนต์มาจอดที่ลานจอดรถก็ไม่ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากหน้าที่ที่จะต้องให้การดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของลูกค้า จำเลยจึงมีหน้าที่ที่ต้องดูแลรถกระบะที่ลูกค้าของจำเลยนำมาจอดในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าจำเลย ห้างสรรพสินค้าจำเลยใช้มาตรการในการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่รถยนต์ของลูกค้าโดยมีพนักงานคอยตรวจสอบดูแลรถยนต์ในขณะที่เข้าหรือออกจากลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าจำเลย หากไม่มีบัตรที่มอบให้ในขณะที่นำรถยนต์เข้ามาจอดก็ไม่สามารถนำรถยนต์ออกไปจากลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าจำเลยได้ อันเป็นมาตรการในการตรวจสอบที่ค่อนข้างจะรัดกุมแต่จำเลยกลับยกเลิกไปและนำกล้องวงจรปิดมาติดตั้งไว้บริเวณทางเข้าออกลานจอดรถแทนและติดป้ายเตือนไว้ที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าจำเลยว่า ลูกค้าต้องดูแลทรัพย์สินของตนเองเท่ากับจำเลยงดเว้นหน้าที่ที่จะต้องดูแลรถยนต์ของลูกค้าโดยลูกค้าต้องเสี่ยงภัยเอง ทั้งการติดตั้งกล้องวงจรปิดเป็นเพียงอุปกรณ์บันทึกภาพรถยนต์เข้าออกไม่สามารถป้องกันการโจรกรรมได้ นับว่าเป็นมาตรการที่ไม่เพียงพอที่จะดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่รถยนต์ของลูกค้า การที่รถกระบะที่ อ. ขับมาจอดที่ลานจอดรถของจำเลยสูญหายไปจึงเกิดจากการงดเว้นในการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลย จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการที่รถหายไป


๕. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๐๔๒/๒๕๖๐ ละเมิด
จำเลยที่ ๓ ทำหน้าที่ในการตรวจวินิจฉัยครรภ์โจทก์ที่ ๑ ตรงตามเกณฑ์มาตรฐานของการตรวจ คัดกรอง การตรวจอัลตราซาวด์ในหญิงตั้งครรภ์เพื่อหาความผิดปกติของทารกแบ่งได้เป็น ๓ ระดับ การตรวจระดับ ๑ เป็นการตรวจคัดกรองอย่างง่ายดูจำนวนทารก การมีชีวิตของทารก การประมาณอายุครรภ์ ปริมาณน้ำคร่ำ ส่วนนำของทารก ตำแหน่งทารก และความพิการบางอย่างที่สามารถเห็นได้ง่าย จำเลยที่ ๓ ให้ความเห็นในการตรวจว่า ทารกมีชีวิต เพศชาย บุตรในครรภ์ ๑ คน รกอยู่ด้านหลังของมดลูกปริมาณน้ำคร่ำปกติ ลักษณะลำตัว ตับ กระเพาะอาหาร ไต กระเพาะปัสสาวะ ลำคอ และกระดูกสันหลังปกติ ความยาวของกระดูกต้นขา ๒๑ มิลลิเมตร ตรงกับอายุครรภ์ ๑๖.๓ สัปดาห์ การเต้นของหัวใจและการเคลื่อนไหวของทารกอยู่ในเกณฑ์ปกติ แสดงให้เห็นว่าในการตรวจอัลตราซาวด์สามารถเห็นอวัยวะส่วนต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกร่างกายของทารกในครรภ์ได้ หากจำเลยที่ ๓ ไม่สามารถมองเห็นความผิดปกติหรือความพิการของ

ทารกในครรภ์ก็มีหน้าที่ต้องแจ้งผลการตรวจให้โจทก์ที่ ๑
ทราบว่ายังไม่สามารถตรวจพบความพิการในส่วนแขนและขาของทารกได้เพราะยังมองเห็นไม่ครบถ้วน การที่จำเลยที่ ๓ แจ้งว่าทารกในครรภ์มีสภาพร่างกายสมบูรณ์หรือไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่สภาพร่างกายทารกมีความพิการรุนแรง ย่อมทำให้โจทก์ที่ ๑ เสียโอกาสในการตัดสินใจว่าจะหาทางแก้ไขเยียวยาหรือดำเนินการเกี่ยวกับโจทก์ที่ ๒ และหากโจทก์ที่ ๑ ทราบข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน ย่อมมีโอกาสเตรียมใจยอมรับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นก่อนการคลอดโจทก์ที่ ๒ มากกว่าที่จะรู้ถึงความพิการของโจทก์ที่ ๒ โดยกะทันหันกระทบกระเทือนต่อสภาพจิตใจโจทก์ที่ ๑ อย่างรุนแรง การที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันตรวจวินิจฉัยการตั้งครรภ์ของโจทก์ที่ ๑ ไม่พบความพิการของโจทก์ที่ ๒ และไม่ได้แจ้งโจทก์ที่ ๑ ทราบข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนด้วยภาษาที่โจทก์ที่ ๑ จะเข้าใจได้ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออันเป็นการละเมิดทำให้โจทก์ที่ ๑ ได้รับความเสียหายทางด้านจิตใจอันเป็นความเสียหายแก่อนามัย ดังนั้น จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นคู่สัญญากับโจทก์ที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ แพทย์เจ้าของไข้ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ซึ่งมอบหมายให้จำเลยที่ ๓ ร่วมในการตรวจวินิจฉัยการตั้งครรภ์ของโจทก์ที่ ๑ ด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ จึงต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ที่ ๑ ด้วย


๖. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๑๐๗/๒๕๕๘ การเลิกสัญญา และเบี้ยปรับ
เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว โจทก์มีสิทธิริบเงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ ๑ ชำระมาแล้วและกลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๕๗๔ วรรคหนึ่ง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ คงเรียกได้เพียง ค่าขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพย์ที่เช่าซื้อในระหว่างที่ยังมิได้ส่งมอบทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนเท่านั้น แม้สัญญาเช่าซื้อข้อ ๑๔.๒ กำหนดว่า "ก่อนวันที่สัญญาเลิกกัน หากผู้เช่าติดค้างชำระหนี้ค่าเช่าซื้อที่ถึงกำหนดแล้วแต่ยังไม่ได้ชำระ ผู้เช่าซื้อสัญญาว่าจะต้องชำระแก่เจ้าของจนครบถ้วน และการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไม่เป็นการลบล้างสิทธิของเจ้าของบรรดาที่มีอยู่ก่อนวันเลิกสัญญา" ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการกำหนดความรับผิดในการที่จำเลยที่ ๑ ไม่ชำระหนี้ไว้ล่วงหน้า มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งศาลอาจพิจารณากำหนดค่าเสียหายให้ตามที่เห็นสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๘๓ วรรคหนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ รับผิดชำระหนี้ค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระตั้งแต่งวดที่ ๑๐ ถึงงวดที่ ๑๘ เป็นเงิน ๑๓๓,๓๘๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี เป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕)


๗. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๓๕๘/๒๕๕๔ การเลิกสัญญาโดยปริยาย
แม้จำเลยที่ ๑ จะผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ติดต่อกันเกิน ๓ งวด แต่ปรากฏตามหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบอกเลิกสัญญาพร้อมใบตอบรับว่า โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระภายในระยะเวลาที่กำหนด ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันที และตามใบตอบรับจำเลยที่ ๑ รับหนังสือในวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ซึ่งจะครบ ๓๐ วันในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๑ แต่โจทก์ไปยึดรถที่เช่าซื้อคืนเมื่อวันที่

มิถุนายน ๒๕๕๑ ซึ่งยังไม่ล่วงพ้นกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือดังกล่าวโดยจำเลยที่ ๑ ยินยอมให้ยึดรถ และไม่ได้โต้แย้งทักท้วง อันเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ ต่างสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยายในวันยึดรถดังกล่าว
โจทก์กับจำเลยที่ ๑ สมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย อันเป็นการเลิกสัญญาด้วยเหตุอื่นมิใช่เป็นการเลิกสัญญาที่มีผลมาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผิดสัญญาเช่าซื้อ คู่สัญญาจึงไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าซื้ออีกต่อไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาจากค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระโดยอาศัยข้อสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อซึ่งระงับไปแล้วได้ โจทก์คงมีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่เช่าซื้อในระหว่างที่จำเลยที่ ๑ ครอบครอง นับตั้งแต่วันผิดนัดจนถึงวันที่ยึดรถที่เช่าซื้อได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๙๑ วรรคสาม


๘. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๕๗๖/๒๕๖๒ ละเมิด
จำเลยขุดดินในที่ดินของจำเลยนำไปขายในธุรกิจรับเหมาถมดินโดยขุดทั้งแปลง ๒๕ ไร่ ลึกกว่า ๓ เมตร ห่างจากแนวเขตที่ดินโจทก์น้อยกว่า ๕๐ เซนติเมตร ทำให้ที่ดินจำเลยมีสภาพเป็นบ่อขนาดใหญ่และที่ดินโจทก์มีสภาพเป็นขอบบ่อสูงชัน ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๔๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “บ่อ สระ หลุมรับน้ำโสโครก หรือหลุมรับปุ๋ย หรือขยะมูลฝอยนั้น ท่านว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้” และตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๔๓ บัญญัติห้ามมิให้ขุดดินจนอาจเป็นเหตุอันตรายแก่ความอยู่มั่นแห่งที่ดินติดต่อเว้นแต่จะจัดการเพียงพอเพื่อป้องกันความเสียหายโดยบทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะป้องกันมิให้ที่ดินซึ่งอยู่ชิดแนวเขตนั้นพังลงตามธรรมชาติ เนื่องจากการขุดดินใกล้แนวเขตมากจนเกินไป และเมื่อจำเลยขุดดินของตนเองจนเป็นบ่อขนาดใหญ่ห่างจากแนวเขตน้อยกว่า ๕๐ เซนติเมตร ย่อมเป็นเหตุให้ที่ดินโจทก์พังลงมาตามธรรมชาติได้ แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยขุดดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ แต่ก็เป็นการที่จำเลยใช้สิทธิซึ่งมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่โจทก์อันเป็นการละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๒๑ และเป็นการใช้สิทธิของตนเป็นเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควรในเมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์สินนั้นมาคำนึงประกอบ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวมีสิทธิจะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไป และไม่ลบล้างสิทธิที่จะเรียกเอาค่าทดแทน ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๗
การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๒๑ และมาตรา ๑๓๓๗ แต่โจทก์ฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด จึงอยู่ในบังคับแห่งอายุความหนึ่งปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๔๔๘ วรรคหนึ่ง จำเลยขุดดินในปี ๒๕๔๑ โจทก์แจ้งความบันทึกไว้เป็นหลักฐานเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๑ ระบุตัวจำเลยเป็นผู้ทำละเมิดจึงเริ่มนับอายุ ๑ ปี นับแต่วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๔๑ โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายในกำหนดหนึ่งปี จึงขาดอายุความ แต่เจ้าพนักงานฝ่ายปกครองเข้าไปตรวจสภาพที่เกิดเหตุตามข้อร้องเรียนของโจทก์ จึงมีการไกล่เกลี่ยและทำบันทึกระบุว่าจำเลยยอมรับว่าได้ขุดดินชิดหลักเขตที่ดินของโจทก์จริง และจะทำการถมดินเป็นแนวกันชนเพื่อป้องกันการพังทลายของดินห่างจากแนวเขตอย่างน้อย ๒ เมตร จึงเป็นการยอมรับว่าความเสียหายในที่ดินโจทก์เกิดจากการกระทำของจำเลยและต่อมามีการทำบันทึกเพิ่มเติมระบุว่า จำเลยจะ
ดำเนินการถมดินภายในวันที่ ๒๓
มกราคม ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ จึงเป็นกรณีที่จำเลยทำบันทึกรับสภาพความรับผิดเป็นหนังสือภายหลังคดีขาดอายุความก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๓/๓๕ ซึ่งมีอายุความสองปี นับแต่วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่ได้ทำหนังสือรับสภาพความรับผิด โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๙ ภายในอายุความสองปี ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
(หมายเหตุ ๑. การขุดดินใกล้กับแนวเขตที่ดินข้างเคียงถือเป็นการกระทำละเมิด ต้องฟ้องร้องภายใน ๑ ปีนับแต่วันที่รู้ตัวผู้กระทำละเมิด)
กฎหมายอาญา


๙. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๑๘๘/๒๕๖๑ รีดเอาทรัพย์
จำเลยส่งข้อความถึงโจทก์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตโปรแกรมสไกป์ (SKYPE) และแอปพลิเคชันไลน์ (LINE) ว่า จำเลยต้องการเงิน ๑๐๐,๐๐๐ ดอลล่าร์ฮ่องกง หากโจทก์ไม่ยินยอมมอบเงินให้ จำเลยจะเปิดเผยภาพเปลือยและวิดิโอบันทึกภาพลามกเกี่ยวกับโจทก์ซึ่งเป็นความลับให้บุตรสาวโจทก์ทราบ การกระทำของจำเลยเป็นการข่มขืนใจผู้อื่น ให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดย ขู่เข็ญจะเปิดเผยความลับ ซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหาย ครบองค์ประกอบความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ เมื่อโจทก์ไม่ยินยอมมอบเงินให้ตามที่จำเลยขู่เข็ญ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามรีดเอาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๘ , ๘๐

 

---ดาวน์โหลดอ่านต่อเพิ่มได้ที่ Link ด้านล่าง----

https://drive.google.com/file/d/1_kc9uCUENNFxcXENXQV2z05tQ0RkXJnf/view?usp=sharing

 

อ้างอิงที่มา :  นายพรชัย แจ้งชัด